โรคตาบอดกลางคืน (Night Blindness)
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
27-01-2023 10:28
โรคตาบอดกลางคืน (Night Blindness) คือ ปัญหาการมองไม่ชัดเจนในที่มืดที่มีแสงสลัวหรือเวลากลางคืน โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เป็นความผิดปกติของจอประสาทตาบริเวณขอบๆ โดยมีการทำลายหรือสูญเสียหน้าที่ หรือมีการตายของเซลล์รูปแท่ง (ROD) ที่อยู่บริเวณขอบจอตา ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตามัวเวลากลางคืน หรือเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสลัว ซึ่งทำให้เกิดอาการตาบอดกลางคืนได้
                
                
            
            
            
            โรคตาบอดกลางคืน (Night Blindness) คือ ปัญหาการมองไม่ชัดเจนในที่มืดที่มีแสงสลัวหรือเวลากลางคืน โดยเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เป็นความผิดปกติของจอประสาทตาบริเวณขอบๆ โดยมีการทำลายหรือสูญเสียหน้าที่ หรือมีการตายของเซลล์รูปแท่ง (ROD) ที่อยู่บริเวณขอบจอตา ทำให้ผู้ป่วยมีอาการตามัวเวลากลางคืน หรือเมื่ออยู่ในที่ที่มีแสงสลัว ซึ่งทำให้เกิดอาการตาบอดกลางคืนได้
สาเหตุของโรคตาบอดกลางคืน
- การขาดวิตามินเอ หรือขาดธาตุสังกะสี ที่ทำงานร่วมกันในส่วนช่วยการมองเห็น
 - ปัญหาทางสายตา เช่น ภาวะสายตาสั้นมาก โรคต้อกระจก ต้อหิน เบาหวานขึ้นตา
 - ความผิดปกติที่จอตา ความบกพร่องทางพันธุกรรม มักพบในกลุ่มที่มีอาการจอตาเสื่อมชนิด RP
 - การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาในกลุ่มโคลิเนอร์จิก เอเจนท์
 
ลักษณะอาการผู้ที่มีอาการตาบอดกลางคืน จะพบปัญหาการมองในสถานที่ที่มีแสงสลัว หรือที่มีแสงสว่างน้อย โดยมักจะเกิดอาการขณะที่ต้องมีการปรับเปลี่ยนการมองจากที่ที่มีแสงสว่างมาก ไปยังที่แสงสลัว เช่น การเดินจากภายนอกอาคารเข้ามาในตัวอาคารการเข้าชมภาพยนตร์ หรือการขับรถตอนกลางคืนที่มีแสงสว่างไม่สม่ำเสมอ
หากโรครุนแรงมากขึ้น จะเริ่มสูญเสียลานสายตาและการปรับการมองเห็นในที่มืด ซึ่งในปัจจุบันยังไม่พบวิธีการรักษาให้หายขาดได้ หากในครอบครัวมีผู้เป็นโรคตาบอดตอนกลางคืนควรพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจรักษา และชะลอความเสื่อมที่เกิดขึ้นให้ช้าลง
การป้องกันและชะลอความเสื่อม สามารถทำได้โดย
- กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
 - ตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปี
 - หากมีอาการผิดปกติควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ทันที
 
ข้อควรระวัง
โรคตาบอดตอนกลางคืนจะมีปัญหาการมองเห็นในที่มืด ถือเป็นอาการสำคัญของโรคที่อาจทำให้มีความเสี่ยงเรื่องการขับรถในเวลากลางคืน ควรหลีกเลี่ยงการขับรถในเวลากลางคืนหรือแสงน้อยๆ เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ
ที่มา : กระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/184970