Facebook หมอชาวบ้าน Youtube หมอชาวบ้าน


โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน

< กลับหน้าหลัก

ลูกนอนกรน มีอันตรายหรือไม่


หมวดหมู่หลัก: พ่อแม่มือใหม่

หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป

30-11-2022 12:49

ภาวะการนอนกรนเป็นการหายใจเสียงดัง ซึ่งเกิดขึ้นในขณะหลับ พบได้ในทุกเพศทุกวัย จากการศึกษาพบว่าเด็กประมาณ 3-12 เปอร์เซ็นต์นอนกรน และการนอนกรนพบบ่อยเป็นพิเศษในช่วงอายุก่อนวัยเรียนหรือช่วงระดับชั้นอนุบาล เนื่องจากขนาดของต่อมอดีนอยด์และทอนซิลที่มักโตเมื่อเทียบกับขนาดของทางเดินหายใจเด็ก

ภาพประกอบเคส

ภาวะการนอนกรนเป็นการหายใจเสียงดัง ซึ่งเกิดขึ้นในขณะหลับ พบได้ในทุกเพศทุกวัย จากการศึกษาพบว่าเด็กประมาณ 3-12 เปอร์เซ็นต์นอนกรน และการนอนกรนพบบ่อยเป็นพิเศษในช่วงอายุก่อนวัยเรียนหรือช่วงระดับชั้นอนุบาล เนื่องจากขนาดของต่อมอดีนอยด์และทอนซิลที่มักโตเมื่อเทียบกับขนาดของทางเดินหายใจเด็ก

การนอนกรนมีอันตรายหรือไม่
ทั้งนี้การนอนกรนอาจ เป็นอันตรายได้ หากเกิดร่วมกับภาวะการหายใจที่ลดลง หรือหยุดหายใจในขณะหลับ Obstructive Sleep Apnea Syndrome (OSAS) ซึ่งเกิดจากทางเดินหายใจที่มีการอุดกั้นบางส่วน หรืออุดกั้นอย่างสมบูรณ์ มักเกิดขึ้นเป็นพัก ๆ ขณะหลับ ทำให้เกิดการรบกวนต่อระบบการระบายลมหายใจ และระบบการนอนหลับ

เด็กที่มีโอกาสเสี่ยง(OSAS) ได้แก่

  • มีต่อมทอนซิล และ/หรือ ต่อมอดีนอยด์โต
  • เด็กที่อ้วนมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน
  • มีความผิดปกติของโครงสร้างของระบบทางเดินหายใจ เช่น มีกรามเล็ก, มีขนาดทางเดินหายใจแคบกว่าปกติ
  • มีความผิดปกติของสมองที่ทำให้การคุมการทำงานของกล้ามเนื้อระบบทางเดินหายใจผิดปกติ เช่น Cerebral Palsy
  • เด็กที่มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากสาเหตุต่าง ๆ
  • เด็กที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรม เช่น ดาวน์ซินโดรม
  • เด็กที่มีปัญหาโรคปอดเรื้อรัง

อาการที่น่าสงสัย

  • มีอาการหายใจติดขัด, หายใจลำบาก หรือหยุดหายใจเป็นพัก ๆ นอนกระสับ กระส่าย, เหงื่อออกมากเวลานอน, ตื่นนอนกลางดึกบ่อย ๆ
  • ปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยควบคุมได้มาก่อน
  • อ้าปากหายใจ มีปัญหาด้านการเรียน, เรียนได้ไม่ดี
  • มีปัญหาทางพฤติกรรม, สมาธิสั้น, อยู่นิ่งเฉยไม่ได้
  • ระดับสติปัญญาต่ำกว่าปกติ
  • ง่วงเหงาหาวนอนมากผิดปกติในเวลากลางวัน
  • มีความดันโลหิตสูง

การรักษาขึ้นอยู่กับสาเหตุ ดังนี้

  • การตัดต่อม Adenoid และ Tonsils ในรายที่มีต่อม Adenoid และ/หรือ Tonsils โต พบว่าช่วยรักษาการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับได้ถึง 75-100% จึงถือเป็นการรักษาหลักในผู้ป่วยกลุ่มนี้
  • ในผู้ป่วยที่มีการอุดตันของทางเดินหายใจขณะหลับเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ทางเดินหายใจอุดตันตอนหายใจเข้า หรือในผู้ป่วยที่ตัดต่อมทอนซิลแล้วยังมีปัญหา หรือในรายที่มีปัญหาสุขภาพทางด้านอื่น ไม่สามารถผ่าตัดได้จำเป็นจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เพื่อป้องกันการอุดตันของทางเดินหายใจในขณะหลับ (CPAP หรือ BiPAP)
  • การรักษาโดยการผ่าตัดเพื่อแก้ความผิดปกติของโครงสร้างของทางเดินหายใจส่วนบนที่แคบกว่าปกติเป็นการทำ Craniofacial Surgery, Uvulopharyngopalatoplasty.
  • การรักษาอาการอื่น ๆ ที่อาจเป็นปัจจัยร่วมให้เกิดปัญหาการหายใจที่ผิดปกติขณะหลับเป็นโรคภูมิแพ้, การควบคุมน้ำหนัก

ภาวะแทรกซ้อน

มีชนิดที่มีการอุดกั้นของทางเดิน หายใจร่วมด้วยในขณะหลับ ทำให้มีออกซิเจนในเลือดลดลง ดังที่กล่าวมาแล้ว หากมิได้รับการรักษา หรือแก้ไขอย่างทันท่วงทีจะทำให้เด็กมีสติปัญญาต่ำ, ระดับการเรียนรู้ต่ำลง, มีสมาธิสั้น, Active มากไม่อยู่นิ่ง, ง่วงเหงาหาวนอนในเวลากลางวัน, ปัสสาวะรดที่นอน, ความดันโลหิตสูง, ความดันเลือดในปอดสูง ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้ อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจทำงานล้มเหลวได้

ที่มา : ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก มหาวิทยาลัยมหิดล
https://bit.ly/3XBK09v


สอบถาม
เพิ่มเติมกับ
แชทบอท