ความแตกต่างของโรคเอดส์ กับ HIV
หมวดหมู่หลัก: LGBTQ
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
30-11-2022 09:03
หากพูดถึงคำว่า “เลือดบวก” หลายคนอาจจะคิดถึงโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง แต่แท้ที่จริงแล้วเลือดบวกเป็นอาการเริ่มต้นของ HIV ที่สามารถกลายไปเป็นโรคเอดส์ได้ต่อไป หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคเอดส์กับ HIV นั้นแตกต่างกันอย่างไร และสาเหตุมันมาจากอะไร
หากพูดถึงคำว่า “เลือดบวก” หลายคนอาจจะคิดถึงโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ร้ายแรง แต่แท้ที่จริงแล้วเลือดบวกเป็นอาการเริ่มต้นของ HIV ที่สามารถกลายไปเป็นโรคเอดส์ได้ต่อไป หลายคนอาจจะสงสัยว่าโรคเอดส์กับ HIV นั้นแตกต่างกันอย่างไร และสาเหตุมันมาจากอะไร
ความแตกต่างของโรคเอดส์ กับ HIV
HIV คือ เชื้อไวรัสที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการคล้ายไข้หวัด และจะไม่แสดงอาการใด ๆ ออกมาอีกเลย ผู้ป่วยโรคนี้จึงไม่รู้ตัวว่าได้รับเชื้อไวรัสนี้เข้าไป เมื่อผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เป็นโรคเอดส์ ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันถูกทำลายจนไม่สามารถต้านทานโรคต่าง ๆ ได้ในที่สุด ดังนั้นโรคเอดส์ และ HIV ไม่ใช่โรคเดียวกันเพียงแต่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางอาการเท่านั้น
เชื้อ HIV สามารถส่งผ่านได้มากที่สุด คือ การมีเพศสัมพันธ์ผ่านสารหลั่งต่าง นอกจากนี้ยังสามารถส่งต่อผ่านเข็มฉีดยา และจากมารดาสู่ลูกในครรภ์ได้ด้วย โดยการติดเชื้อจะมีด้วยกัน 3 ระยะ
- ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายเป็นหวัด
- ระยะอาการ มักไม่แสดงอาการ เป็นระยะที่สามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วย
- ระยะเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่เคยได้รับการระงับการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายเลย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียภูมิคุ้มกันโรคและจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด
อาการของโรคเอดส์ กับ HIV
อาการของ โรคเอดส์ กับ HIV นั้นมีความเกี่ยวเนื่องกันเพราะผู้ที่ติดเชื้อ HIV จะมีอาการคล้ายกับคนเป็นไข้หวัด คือ มีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามตัว แต่เมื่อเชื้อร้ายนี้ได้รุกคืบเข้าไปสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายจนไม่สามารถเยียวยาได้จะส่งผลให้ผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์ และเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคติดเชื้อในปอด โรคติดเชื้อในสมอง เป็นต้น
ผู้ที่มีเชื้อ HIV ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด
หลายคนอาจยอมรับที่จะอยู่ร่วมกับผู้มีเชื้อ HIV ได้ ในขณะที่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังกลัวที่จะอยู่หรือเข้าใกล้ผู้ที่มีเชื้อชนิดนี้เช่นกัน โดยในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีเชื้อดังกล่าวสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเช่นเดียวกับบุคคลทั่ว ๆ ไป เพียงแต่ต้องคอยดูแลตนเองตามคำสั่งของแพทย์ด้วยการยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสด้วยการทานยา Antiretroviral (ARV) เป็นประจำและคอยตรวจเช็กอาการด้วยการเจาะเลือด
ไม่ใช่แค่เพียงผู้ที่มีเชื้อเท่านั้นที่ควรเจาะเลือด สำหรับผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงหรืออยากหาเชื้อไวรัสแต่เนิ่น ๆ สามารถเข้ารับการาตรวจเลือดได้เช่นกัน นอกจากนี้สำหรับผู้ที่มีความกังวลว่าจะติดเชื้อ HIV ก็สามารถรับยาต้านไวรัสภายใน 3 วัน หรือ 72 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อได้ด้วย
ที่มา : สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย