โรคฮีสโตพลาสโมสิส
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
11-10-2022 11:04
โรคฮีสโตพลาสโมสิส สามารถพบได้ทั่วโลก และพบได้ประปรายในประเทศไทย โรคนี้เกิดจากเชื้อราฮีสโตพลาสมา แคปซูลลาตุม (Histoplasma capsulatum) ซึ่งมีอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ในดิน แต่ปริมาณเชื้อจะมีมากในมูลของค้างคาว เมื่อคนเข้าไปในช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค้างคาวกำลังนอนพัก การส่งเสียงดัง ทำให้ค้างคาวตกใจ ส่งเสียงร้อง เครียด ถ่ายมูล ฉี่ จนทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในมูลฟุ้งกระจายในโพรงต้นไม้
โรคฮีสโตพลาสโมสิส สามารถพบได้ทั่วโลก และพบได้ประปรายในประเทศไทย โรคนี้เกิดจากเชื้อราฮีสโตพลาสมา แคปซูลลาตุม (Histoplasma capsulatum) ซึ่งมีอยู่ในสิ่งแวดล้อม เช่น ในดิน แต่ปริมาณเชื้อจะมีมากในมูลของค้างคาว เมื่อคนเข้าไปในช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ค้างคาวกำลังนอนพัก การส่งเสียงดัง ทำให้ค้างคาวตกใจ ส่งเสียงร้อง เครียด ถ่ายมูล ฉี่ จนทำให้เชื้อโรคที่อยู่ในมูลฟุ้งกระจายในโพรงต้นไม้
อาการของโรค
โรคนี้ติดต่อโดยการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราเข้าไป ระยะฟักตัวของโรคประมาณ 3-17 วัน แสดงอาการได้หลายรูปแบบ อาจพบอาการปอดอักเสบ มีไข้ ไอ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก อ่อนเพลีย หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำหนักลด ในรายที่อาการรุนแรง อาจมีอาการไอเป็นเลือด เอกซเรย์จะเห็นมีฝ้าที่ปอด แต่คนส่วนใหญ่ที่รับเชื้อมักไม่แสดงอาการป่วยเนื่องจากภูมิคุ้มกันสามารถต่อสู้กับเชื้อได้ ในคนที่ภูมิคุ้มกันปกติหรือรับเชื้อเข้าไปในปริมาณเล็กน้อยสามารถหายเองได้ใน 1 เดือน
โดยทั่วไปเชื้อนี้ทำให้เกิดอาการในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ ผู้ที่ปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกันเป็นประจำ แต่ในผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องอาจมีอาการรุนแรง เช่น ติดเชื้อที่ปอดเรื้อรัง และเชื้ออาจแพร่กระจายไปยังระบบประสาทส่วนกลางก่อให้เกิดอาการทางระบบประสาท และเสียชีวิตได้
แนวทางการรักษา
โรคนี้รักษาได้โดยใช้ยาฆ่าเชื้อราร่วมกับการรักษาตามอาการ ซึ่งอาจต้องรับประทานยานาน 3 เดือน ถึง 1 ปีขึ้นกับอาการ ตำแหน่ง และความรุนแรงของโรค การติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนเป็นไปได้ยาก ปัจจุบันไม่มีวัคซีนหรือตัวยาที่จะป้องกันโรคนี้โดยตรง
วิธีป้องกันตนเองที่มีประสิทธิภาพ คือ รักษาสุขภาพให้แข็งแรง หลีกเลี่ยงการเข้าถ้ำที่มีค้างคาว ในสิ่งแวดล้อมที่อับชื้นมีมูลนกหรือมูลสัตว์ โพรงต้นไม้ที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก หากจำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสถานที่เหล่านี้ ต้องสวมใส่หน้ากากอนามัย หลังจากนั้นต้องล้างมือให้สะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้า และหากมีอาการป่วยภายหลังไปท่องเที่ยวในสถานที่ที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์พาหะ หรือการทำความสะอาดเล้า/กรง/คอกสัตว์ รวมถึงการพรวนดิน และจัดเก็บบ้านเก่า ให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ที่มา : กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/179525/