โรคติดเชื้อแบคทีเรียทางผิวหนัง
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
20-09-2022 15:33
ผิวหนังของคนเราเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อใดที่มีปัจจัยให้ผิวหนังของเราอ่อนแอลง จะทำให้เชื้อโรคสามารถผ่านเข้าสู่ผิวหนัง และก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้
ผิวหนังของคนเราเป็นด่านแรกที่ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายจากเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อใดที่มีปัจจัยให้ผิวหนังของเราอ่อนแอลง จะทำให้เชื้อโรคสามารถผ่านเข้าสู่ผิวหนัง และก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังได้
โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังจัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย แบ่งเป็น 5 กลุ่มโรคใหญ่ๆ เรียงตามความลึก และตำแหน่งของการอักเสบ ดังนี้
-
โรคพุพอง (Impetigo) เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียในชั้นหนังกำพร้า พบได้บ่อยในเด็ก อาจเป็นชนิดที่พบตุ่มน้ำร่วมหรือไม่พบก็ได้ อาการเริ่มแรกจะมีตุ่มสีแดงบริเวณใบหน้า หลังจากนั้นจะเปลี่ยนเป็นตุ่มน้ำใสหรือตุ่มหนอง ระยะถัดมาตุ่มจะแตกออก และพบเป็นรอยถลอกตื้นๆ ที่มีสะเก็ดหนองสีเหลืองอมน้ำตาล คล้ายสี “น้ำผึ้ง” คลุมอยู่ด้านบน ในบางรายอาจจะมีอาการไข้หรือต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยได้
-
โรครูขุมขนอักเสบ (Folliculitis), ฝี (Furuncle/abscess), และ ฝีฝักบัว (Carbuncle) เป็นการอักเสบของรูขุมขน ลักษณะเป็นตุ่มสีแดง หรือตุ่มหนองขึ้นที่ตำแหน่งของรูขุมขน พบได้บ่อยบริเวณใบหน้า(แถวเครา), ศีรษะ, หน้าอก, หลัง, รักแร้, และ แก้มก้น เป็นต้น ซึ่งถ้าการอักเสบรุนแรง และลุกลามไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียง อาจพบเป็นไตแข็งๆ ที่มีหนองสะสมอยู่ภายในเรียกว่า ฝี และหากพบฝีหลายๆ อันอยู่รวมกลุ่มกันโดยมีช่องทางเชื่อมต่อกัน เราจะเรียกรอยโรคนี้ว่า ฝีฝักบัว ผู้ป่วยจะมีอาการไข้, อ่อนเพลีย, หรือ ต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วย อาจเป็นสาเหตุของการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ โรคในกลุ่มนี้หายช้า และมักจะทิ้งรอยแผลเป็น
-
โรคไฟลามทุ่ง (Erysipelas) เป็นการอักเสบที่ส่วนบนของผิวหนังชั้นแท้ ซึ่งอาการจะแสดงออกมาหลังได้รับเชื้อ 2 - 5 วัน เริ่มด้วยอาการไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลีย ในมีกี่ชั่วโมงถึงวันถัดมา จะพบอาการผื่นแดงเป็นปื้น บวม กดเจ็บ เป็นขอบเขตชัด และลามอย่างรวดเร็ว พบบ่อยที่สุดคือ ขา รองลงมาคือ ใบหน้า พบร่วมกับอาการต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงโต
-
โรคเนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) เป็นการอักเสบที่ส่วนล่างของผิวหนังชั้นแท้จนถึงชั้นไขมันใต้ผิวหนัง ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ หนาวสั่น และอ่อนเพลีย ร่วมกับมีผื่น บวม แดง ร้อน ขอบเขตไม่ชัดและมีอาการปวด ผื่นสามารถลามขยายขนาดออกกว้างขึ้นแต่ไม่เร็วเท่ากับโรคไฟลามทุ่ง ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ และกรวยไตอักเสบ ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบกลับมาเป็นซ้ำหลายๆ ครั้ง อาจส่งผลต่อการไหลเวียนของระบบท่อน้ำเหลืองทำให้ผู้ป่วยมีอาการขาบวมเรื้อรังได้
-
โรคแบคทีเรียกินเนื้อ หรือโรคเนื้อเน่า (necrotizing fasciitis) เป็นโรคที่ความรุนแรงสูงที่สุดในกลุ่มการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง มีอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 20 - 60 เป็นการอักเสบรุนแรงในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง และพังผืดที่คลุมกล้ามเนื้อ จนเกิดภาวะเนื้อตายตามมาถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบมาพบแพทย์และให้การรักษาโดยเร็ว
ข้อควรปฏิบัติ
- การรักษาหลักเป็นการให้ยาปฏิชีวนะตามเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องมาพบแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง ไม่ควรซื้อยารับประทานเอง
- ทำความสะอาดผิวหนังและบริเวณที่เป็นแผลให้สะอาดด้วยการฟอกสบู่และน้ำยาฆ่าเชื้อให้สะอาด
- หลีกเลี่ยงการแกะเกา เพราะจะทำให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนังและอาจทำให้เชื้อโรคลุกลามมากยิ่งขึ้น
- การรักษาด้วยวิธีอื่น เช่น การกรีดระบายหนอง การประคบแผลด้วยน้ำเกลือดูดซับน้ำเหลืองออก
โรคติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง จัดเป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย แต่หากเราหมั่นดูแลรักษาสุขอนามัย รักษาความสะอาดของร่างกาย หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าโดยไม่สวมรองเท้า รวมถึงการตัดเล็บให้สั้น ตรวจสอบเท้ารวมถึงผิวหนังของตัวเองอยู่เสมอ ถ้ามีแผลให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดพร้อมทั้งทำแผลอย่างถูกต้อง ถ้ามีผื่นโรคผิวหนังอื่น ๆ ควรไปพบแพทย์ เพื่อทำการรักษาเพราะรอยโรคดังกล่าวอาจะเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปก่อโรคยังผิวหนังได้
ที่มา : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/178699/