การดูแลแผลไฟไหม้เบื้องต้น
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
10-08-2022 13:17
บาดแผลจากไฟไหม้ แผลพุพอง น้ำร้อนลวก บริเวณผิวหนัง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ บาดแผลจากไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกที่บริเวณผิวหนัง แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ตามความลึกของบาดแผล
บาดแผลจากไฟไหม้ แผลพุพอง น้ำร้อนลวก บริเวณผิวหนัง เป็นปัญหาที่พบได้บ่อย ๆ บาดแผลจากไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกที่บริเวณผิวหนัง แบ่งได้เป็น 3 ระดับ ตามความลึกของบาดแผล คือ
- แผลลึกระดับที่ 1 (First-degree burn) การบาดเจ็บอยู่เฉพาะที่ชั้นหนังกำพร้า แผลอาจมีลักษณะคล้ายผิวหนังไหม้จากการโดนแสงแดดจัด อาการที่พบ เจ็บแสบ แดง และแห้ง ไม่มีลักษณะของตุ่มน้ำให้เห็น หายได้เองภายใน 7 - 14 วัน
- แผลลึกระดับที่ 2 (Second-degree burn) การบาดเจ็บลงลึกถึงชั้นหนังแท้ อาการขึ้นอยู่กับความลึกที่ได้รับบาดเจ็บ มักพบตุ่มน้ำ แผลถลอกร่วมด้วย การหายของแผลอาจใช้เวลามากกว่าสองสัปดาห์และมีโอกาสเกิดแผลเป็นหรือสีผิวผิดปกติตามมา
- แผลลึกระดับที่ 3 (Third-degree burn หรือ Full-Thickness burn) ผิวหนังทุกชั้นถูกทำลายด้วยความร้อน แผลมีลักษณะแห้งแข็ง ไม่ยืดหยุ่น แผลชนิดนี้มักไม่หายเอง ต้องได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้อง มีโอกาสเกิดการหดรั้งหรือแผลเป็นนูนตามมาได้ค่อนข้างมาก
การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับบาดแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก
- ออกจากแหล่งความร้อนโดยเร็วที่สุด รวมถึงกำจัดแหล่งความร้อนที่จะทำให้บาดแผลลุกลามมากขึ้น เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับที่อยู่บริเวณแผล เป็นต้น
- ล้างบาดแผลด้วยน้ำสะอาดที่อุณหภูมิปกติ เพื่อลดความร้อนและทำให้แผลเย็นลง
- กรณีมีบาดแผลถลอก มีตุ่มน้ำ สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง มีบาดแผลลึก หรือมีแผลไหม้เป็นบริเวณกว้าง สามารถปิดแผลด้วยผ้าก๊อซ หรือผ้าสะอาด และให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วน
- ไม่ควรทาหรือใช้สารอื่น ๆ ทาลงบนบาดแผล เช่น ยาสีฟัน ไข่ขาว น้ำปลา เนื่องจากอาจเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อที่บาดแผลได้
แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นปัญหาที่ควรได้รับการดูแลอย่างรวดเร็วและถูกต้องตั้งแต่ระยะก่อนมาพบแพทย์ เพื่อลดโอกาสในการลุกลามของบาดแผลและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงรวมถึงเกิดการติดเชื้อผิวหนังจากบาดแผลไฟไหม้ที่เกิดขึ้นได้ นอกจากปัญหาเรื่องบาดแผลที่ต้องได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมแล้ว ผู้ป่วยยังมีโอกาสเกิดปัญหาอื่น ๆ เช่น การสูญเสียน้ำและเกลือแร่ของร่างกาย การติดเชื้อ และการสูดดมควันไฟ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน
ที่มา : สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
https://pr.moph.go.th/?url=pr/detail/2/02/177111/