Facebook หมอชาวบ้าน Youtube หมอชาวบ้าน


โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน

< กลับหน้าหลัก

ไข้เลือดออกกับโควิด อาการต่างกันอย่างไร


หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว

หมวดหมู่ย่อย: โควิด

15-05-2022 08:34

ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งอากาศร้อนและมีพายุส่งผลให้ฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในหลายจังหวัดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการดูแลและเฝ้าสังเกตอาการของโรคได้

ภาพประกอบเคส

ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งอากาศร้อนและมีพายุส่งผลให้ฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในหลายจังหวัดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการดูแลและเฝ้าสังเกตอาการของโรคได้

ความแตกต่างระหว่าง ไข้เลือดออก กับ โควิด

1.ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค

อาการไข้เลือดออก

  • มีไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน
  • มีผื่น
  • หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
  • บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง
  • อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง
  • ผู้ป่วยไข้เลือดออกมักไม่มีอาการไอหรือมีน้ำมูก ผู้ป่วยไข้เลือดออกในระยะวิกฤต จะมีน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ซึ่งถ้าไม่ได้รับสารน้ำทดแทนอย่างทันท่วงที จะทำให้เกิดภาวะช็อกนาน จนเกิดตับวาย ไตวาย และอวัยวะอื่นๆ ทำงานล้มเหลว จนเสียชีวิตได้

2.โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 (SARS-CoV-2) สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก

อาการของโควิด-19

  • มีไข้ต่ำถึงสูง
  • ปวดเมื่อยตามตัว
  • เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ
  • มีน้ำมูก
  • หอบเหนื่อยหายใจลำบาก
  • ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง
  • อาเจียน
  • ท้องเสียมีในบางราย
  • ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง

โควิด 19 “โอไมครอน” ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายกับโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาจมีไข้สูง อาเจียน หรือท้องเสียได้ ประวัติการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดในระยะ 7 – 10 วัน และการทำ ATK ด้วยตนเอง จะช่วยคัดกรองแยกโรคได้ ในกรณีที่แยกไม่ได้ การตรวจเลือด เช่น การหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count) และการตรวจหาโปรตีนเอ็น เอส-หนึ่ง ของไวรัสไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกของไข้ จะช่วยวินิจฉัยโรคได้

ด้านการรักษา

  1. ไข้เลือดออก ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย
  2. โควิด-19 หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เมื่อมีไข้หรือปวดศีรษะ ให้ทานยาลดไข้ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ไม่เกิน 2 – 3 วัน จะค่อยๆ ดีขึ้น หากมีน้ำมูก ให้ทานยาลดน้ำมูกเท่าที่จำเป็น หรือถ้าน้ำมูกข้นเขียว ในเด็กโตสามารถล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หากมีอาการไอให้รับประทานยาแก้ไอตามอาการ และจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ หากไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ หน้าอกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ตอนหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94% ซึมลง งอแง ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร ถ่ายเหลว หรืออาเจียนมากต่อเนื่องกัน ควรรีบนำเด็กไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์หรือ โรงพยาบาลในเขตพื้นที่รับผิดชอบ

ทั้งนี้ ในกรณีถ้าเกิดการระบาดพร้อมๆ กัน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 และเป็นไข้เลือดออกได้ ในกลุ่มเด็กเล็กผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเด็กเล็กจะป่วยง่าย และเด็กในกลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 หากพบว่าไม่สบาย มีไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย ท้องเสียตรวจ ATK แล้วผลเป็นลบ ให้ระวังไข้เลือดออกร่วมด้วย หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ทันที

ที่มา : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี https://bit.ly/3K6cNfc


สอบถาม
เพิ่มเติมกับ
แชทบอท