ไข้เลือดออกกับโควิด อาการต่างกันอย่างไร
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: โควิด
15-05-2022 08:34
ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งอากาศร้อนและมีพายุส่งผลให้ฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในหลายจังหวัดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการดูแลและเฝ้าสังเกตอาการของโรคได้
ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ทั้งอากาศร้อนและมีพายุส่งผลให้ฝนตกในหลายพื้นที่ ทำให้เกิดน้ำท่วมขัง ซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ในหลายจังหวัดพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อาจทำให้ประชาชนเกิดความสับสนในการดูแลและเฝ้าสังเกตอาการของโรคได้
ความแตกต่างระหว่าง ไข้เลือดออก กับ โควิด
1.ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี่ โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค
อาการไข้เลือดออก
- มีไข้สูงลอยประมาณ 2-7 วัน
- มีผื่น
- หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อย
- เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง
- บางรายอาจมีถ่ายดำหรือถ่ายเป็นเลือดถ้ารุนแรง
- อาจเห็นจุดเลือดออกสีแดงเล็กๆ ตามผิวหนัง
- ผู้ป่วยไข้เลือดออกมักไม่มีอาการไอหรือมีน้ำมูก ผู้ป่วยไข้เลือดออกในระยะวิกฤต จะมีน้ำเหลืองรั่วออกนอกเส้นเลือด ทำให้เกิดภาวะช็อก ซึ่งถ้าไม่ได้รับสารน้ำทดแทนอย่างทันท่วงที จะทำให้เกิดภาวะช็อกนาน จนเกิดตับวาย ไตวาย และอวัยวะอื่นๆ ทำงานล้มเหลว จนเสียชีวิตได้
2.โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่2019 (SARS-CoV-2) สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก
อาการของโควิด-19
- มีไข้ต่ำถึงสูง
- ปวดเมื่อยตามตัว
- เจ็บคอ ไอแห้งหรือมีเสมหะ
- มีน้ำมูก
- หอบเหนื่อยหายใจลำบาก
- ปอดอักเสบในรายที่รุนแรง
- อาเจียน
- ท้องเสียมีในบางราย
- ไม่พบจุดเลือดออกตามผิวหนัง
โควิด 19 “โอไมครอน” ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคล้ายกับโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะอาจมีไข้สูง อาเจียน หรือท้องเสียได้ ประวัติการสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วยโควิดในระยะ 7 – 10 วัน และการทำ ATK ด้วยตนเอง จะช่วยคัดกรองแยกโรคได้ ในกรณีที่แยกไม่ได้ การตรวจเลือด เช่น การหาค่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood count) และการตรวจหาโปรตีนเอ็น เอส-หนึ่ง ของไวรัสไข้เลือดออก โดยเฉพาะในช่วง 3 วันแรกของไข้ จะช่วยวินิจฉัยโรคได้
ด้านการรักษา
- ไข้เลือดออก ปัจจุบันยังไม่มียาต้านเชื้อไวรัสสำหรับโรคไข้เลือดออก การรักษาจึงเป็นไปตามอาการ มีไข้ให้เช็ดตัวและรับประทานยาพาราเซตามอลลดไข้เท่านั้น ห้ามใช้แอสไพริน ไอบูโพรเฟน ถ้าผู้ป่วยรับประทานอาหารได้น้อย อาจให้ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ร่วมด้วย
- โควิด-19 หากอาการไม่รุนแรง จะรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เมื่อมีไข้หรือปวดศีรษะ ให้ทานยาลดไข้ ส่วนใหญ่จะมีอาการไข้ไม่เกิน 2 – 3 วัน จะค่อยๆ ดีขึ้น หากมีน้ำมูก ให้ทานยาลดน้ำมูกเท่าที่จำเป็น หรือถ้าน้ำมูกข้นเขียว ในเด็กโตสามารถล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ หากมีอาการไอให้รับประทานยาแก้ไอตามอาการ และจิบน้ำอุ่นบ่อยๆ หากไข้สูงกว่า 39 องศาเซลเซียส หายใจหอบเร็วกว่าปกติ หน้าอกบุ๋ม ปีกจมูกบาน ตอนหายใจ ปากเขียว ระดับออกซิเจนปลายนิ้วน้อยกว่า 94% ซึมลง งอแง ไม่ดูดนม ไม่กินอาหาร ถ่ายเหลว หรืออาเจียนมากต่อเนื่องกัน ควรรีบนำเด็กไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์หรือ โรงพยาบาลในเขตพื้นที่รับผิดชอบ
ทั้งนี้ ในกรณีถ้าเกิดการระบาดพร้อมๆ กัน จะมีโอกาสพบผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด 19 และเป็นไข้เลือดออกได้ ในกลุ่มเด็กเล็กผู้ปกครองควรดูแลอย่างใกล้ชิดเนื่องจากเด็กเล็กจะป่วยง่าย และเด็กในกลุ่มอายุต่ำกว่า 5 ปี ยังไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 หากพบว่าไม่สบาย มีไข้ ปวดเมื่อยร่างกาย ท้องเสียตรวจ ATK แล้วผลเป็นลบ ให้ระวังไข้เลือดออกร่วมด้วย หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์ทันที
ที่มา : สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี https://bit.ly/3K6cNfc