"ฝังยาคุมกำเนิด" แล้วไม่มีประจำเดือนจริงหรือ
หมวดหมู่หลัก: ดูแลตัวเองและครอบครัว
หมวดหมู่ย่อย: เจ็บป่วยทั่วไป
12-04-2022 15:01
การฝังยาคุม คือ การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยใช้ฮอร์โมนเดี่ยวบรรจุไว้ภายในแท่งพลาสติก แล้วนำไปฝังที่ใต้ท้องแขน เมื่อตัวฮอร์โมนทำปฏิกิริยากับร่างกาย ก็จะทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
การฝังยาคุม คือ การคุมกำเนิดแบบชั่วคราว โดยใช้ฮอร์โมนเดี่ยวบรรจุไว้ภายในแท่งพลาสติก แล้วนำไปฝังที่ใต้ท้องแขน เมื่อตัวฮอร์โมนทำปฏิกิริยากับร่างกาย ก็จะทำให้ไม่มีการตกไข่ ซึ่งจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้
ข้อดีของยาฝังคุมกำเนิด
- ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดสูงมาก ประมาณ 1/200 คน ที่เกิดอัตราล้มเหลว
- เป็นวิธีที่มีความสะดวก ฝังครั้งเดียวสามารถคุมกำเนิดได้นาน 3-5 ปี
- มีอาการข้างเคียงน้อย
- สามารถเลิกใช้เมื่อใดก็ได้ เมื่อต้องการจะมีบุตรหรือเปลี่ยนเป็นใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบอื่น
- หลังจากถอดออกจะสามารถมีลูกได้เร็วกว่าการฉีดยาคุมกำเนิด 90% ตกไข่ใน 1 เดือน
- ยาฝังคุมกำเนิดยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ลดภาวะประจำเดือนมามาก
ข้อเสียของการฝังยาคุมกำเนิด
- การฝัง หรือการถอดยาคุมจะต้องทำโดยแพทย์เท่านั้น ไม่สามารถใส่หรือถอดเองได้
- ประจำเดือนจะมาแบบกะปริดกะปรอย ซึ่งอาจทำให้เป็นปัญหาของหลาย ๆ คน แต่เมื่อผ่านระยะ 1 ปีไปแล้ว ปัญหาแบบนี้ก็จะลดลง
- อาจพบภาวะแทรกซ้อนจากการฝังยาคุมได้ เช่น มีก้อนเลือดคลั่งบริเวณที่กรีด
- อาจพบตำแหน่งแท่งยาที่แตกต่างไปจากเดิม แต่พบได้น้อยมาก
ผลข้างเคียงของการฝั่งยาคุมกำเนิด มีอะไรบ้าง
- ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มาแบบกะปริดกะปรอย หรือมีตกขาวมาก บางรายอาจมีประจำเดือนติดต่อกันหลายวัน หรือในบางรายอาจจะไม่มีประจำเดือนเลย
- ในบางรายมีอาการปวดท้องประจำเดือน ในช่วง 2 - 3 เดือนแรก
- มีอาการปวดแขนบริเวณที่ฝังยาคุม
- แผลที่ฝั่งยาคุมอาจเกิดรอยแผลเป็นหรือเกิดอาการอักเสบได้
- มีอารมณ์แปรปรวน เจ็บเต้านม
- มีน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น
- เกิดภาวะลิ่มเลือดในหลอดเลือดต่ำ
ผู้ที่เหมาะจะใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- ผู้ที่ต้องการคุมกำเนิดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและคุมกำเนิดได้ในระยะยาว
- ผู้ที่ต้องการเว้นช่วงการมีบุตรอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
ผู้ที่ไม่ควรใช้ยาฝังคุมกำเนิด
- ผู้ที่ตั้งครรภ์ หรือ สงสัยว่าตั้งครรภ์
- ผู้ที่มีความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด หรือ กำลังได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด
- ผู้ที่มีข้อห้ามในการใช้ฮอร์โมนโปรเจสโตเจน
- ผู้ที่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดหรือตามอวัยวะเพศต่างๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ
- ผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับการทำงานของตับ หรือ กำลังเป็นโรคตับอักเสบ
ที่มา : คมชัดลึก, โรงพยาบาลนครธน
https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/507033