SPF กับ PA เลือกอย่างไรในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

ไม่ว่าจะหน้าร้อนหรือหน้าไหนการใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่ควรมีการใช้เป็นประจำทุกวัน และควรเลือกใช้อย่างเหมาะสมเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดและปกป้องผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

คำที่หลายคนคุ้นชินในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดนั้นก็คือ SPF และ PA ซึ่งมีความแตกต่างของค่าทั้ง 2 ตัว ดังนี้

1.ค่า SPF (Sun Protection Factor) คือ ค่าในการป้องกันผิวไหม้แดงจากการสัมผัสรังสี UVB เนื่องจากรังสี UVB ทำให้ผิวแดงไหม้ พอง มีอาการปวดแสบปวดร้อน และผิวคล้ำ โดยหากมีค่ายิ่งสูงเท่าไรจะยิ่งสามารถอยู่กลางแดดได้นานขึ้น โดยความจำเป็นในการเลือกผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF ต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของแต่ละบุคคล สามารถแบ่งเป็นช่วงต่าง ๆ เช่น
- 1. SPF 10 – 15 เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในร่มทั้งวัน ไม่ออกแดดเลย
- 2. SPF 15 - 29 เหมาะสำหรับผู้ที่มีกิจกรรมกลางแจ้งระหว่างวัน
- 3. SPF มากกว่า 30 เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่กลางแจ้งมาก หรือผู้ที่มีอาการแพ้หรือไวต่อแสงแดด

2.ค่า PA (Protection Grade of UVA) คือ ค่าในการปกป้องผิวจากการสัมผัสรังสี UVA เนื่องจากรังสี UVA ทำให้ผิวเหี่ยวย่น ผิวคล้ำ เป็นฝ้า กระ และอาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนังบางชนิดได้ โดยค่า PA แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
- 1. PA+ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้น้อย
- 2. PA++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้ปานกลาง
- 3. PA+++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้สูง
- 4. PA++++ มีประสิทธิภาพในการป้องกันแสง UVA ได้สูงมาก

การเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
1. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปกป้องผิวได้จากทั้งรังสี UVA และ UVB
2. ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF 15 ขึ้นไป

การใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด
1. ควรทาก่อนออกแดด 15 – 30 นาที
2. ควรทาซ้ำระหว่างวัน โดยอาจทาซ้ำทุกประมาณ 2 ชั่วโมง
3. ควรทาให้หนาพอที่จะปกป้องผิว โดยทาครั้งละประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ หรือ แบ่งทาทีละ 1 ข้อนิ้ว สำหรับทาหน้าและลำคอและทาซ้ำ 2 รอบในแต่ละครั้ง

ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
https://bit.ly/3L70IcI