รู้และเข้าใจ PrEP กับ PEP ยาต้านไวรัส HIV
หมวดหมู่หลัก: LGBTQ
หมวดหมู่ย่อย: อื่นๆ
22-04-2023 10:42
การมีเพศสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและเสรี ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนวัตกรรมทางด้านยาและสาธารณสุขก็ได้ปรับตัวให้สอดคล้องเพื่อป้องกันและลดจำนวนผู้ติดเชื้อด้วยเช่นกัน ยาต้านไวรัสเอชไอวีทั้งแบบป้องกันและฉุกเฉิน คืออะไร วันนี้มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน
การมีเพศสัมพันธ์ที่เปิดกว้างและเสรี ทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มสูงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันนวัตกรรมทางด้านยาและสาธารณสุขก็ได้ปรับตัวให้สอดคล้องเพื่อป้องกันและลดจำนวนผู้ติดเชื้อด้วยเช่นกัน ยาต้านไวรัสเอชไอวีทั้งแบบป้องกันและฉุกเฉิน คืออะไร วันนี้มาทำความรู้จักไปพร้อมกัน
PrEP หรือ Pre-Exposure Prophylaxis (ยาต้านก่อนเสี่ยง)
เป็นยาต้านไวรัสสำหรับผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเอชไอวี ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่มีภาวะสุ่มเสี่ยง หรือรับประทานเพื่อลดความเสี่ยงก่อนการติดเชื้อ เช่น ในผู้ที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ไม่ทราบผลเลือดหรือมีคู่นอนหลายคน , ผู้ที่คู่นอนเป็นผู้ติดเชื้อ HIV , ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น , มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา เป็นต้น แต่ไม่สามารถป้องกันการตั้งครรภ์ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้
ประสิทธิภาพของยา PrEP จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับการรับประทานยา
- ต้องรับประทานยาทุกวัน วันละ 1 เม็ด ให้ตรงเวลา
- ป้องกันการติดเชื้อโดยใช้วิธีอื่นร่วมด้วย เช่น การใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ การลดจำนวนคู่นอน เป็นต้น
- หลังจากใช้ยา PrEP ควรตรวจเลือดเพื่อติดตามประสิทธิภาพของยาและตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีทุก ๆ 3 เดือน
- ระยะเวลาการใช้ยาและการหยุดยาขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์
PEP หรือ Post exposure prophylaxis (ยาต้านฉุกเฉิน)
ใช้รับประทานหลังจากมีความเสี่ยงได้รับเชื้อเอชไอวีให้ไวที่สุดหรือภายใน 72 ชม. เช่น การมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ได้ป้องกัน ถูกข่มขืน สัมผัสเลือดหรือได้รับสารคัดหลั่งจากผู้ติดเชื้อ HIV บุคลากรทางการแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุ มีดบาด เข็มตำในโรงพยาบาลจากการทำหัตถการให้คนไข้ เป็นต้น
แต่หากเกินกว่า 72 ชม. การใช้ยา PEP จะไม่เกิดประโยชน์ในการป้องกันการติดเชื้อ จึงไม่จำเป็นต้องรับยา แต่ควรมาตรวจเลือดหลังจากวันที่มีความเสี่ยงอย่างน้อย 14-21 วัน
ประสิทธิภาพของยา PEP
- ต้องรับประทานจนครบ 28 วันตามที่แพทย์กำหนด
- ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำหลังผ่านไป 1 เดือนและ 3 เดือน
- ระหว่างกินยาต้องใช้ถุงยางอนามัยในการมีเพศสัมพันธ์ทุกครั้ง
- หากกินยาไม่ครบประสิทธิภาพการป้องกันจะลดลง และจะต้องมีการตรวจหาเชื้อ HIV ซ้ำหลังรับประทานยาครบ
เชื้อเอชไอวีสามารถป้องกันได้ หากรู้ตัวว่ามีความเสี่ยงควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับยาได้ที่สถานบริการของรัฐ เอกชน หรือคลินิกเฉพาะทางที่มีแพทย์ประจำ เนื่องจากการใช้ยาต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และมีเงื่อนไขว่าผู้นั้นจะต้องผ่านการตรวจเลือดแล้วพบว่ามีผล HIV เป็นลบ รวมถึงการตรวจไวรัสตับอักเสบบี และตรวจการทำงานของตับและไตร่วมด้วย เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากยา
ที่มา : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
https://bit.ly/3KIj4iE